เราคิดว่าต้องดูที่ลูกของเราเองค่ะว่าเขาเป็นเด็กอย่างไร
เหมาะกับโรงเรียนแบบไหน
ลูกของเราอยู่บ้านก็เป็นเด็กร่าเริงแจ่มใส ขี้เล่นชอบแหย่แม่และน้องเป็นประจำ
แต่อยู่ต่อหน้าคนอื่นจะเงียบ ๆ ไม่ค่อยพูดไม่ค่อยแสดงออกนัก
เราจึงคิดว่าหากเราให้ลูกไปอยู่โรงเรียนใหญ่ที่มีเด็กเยอะ
หรือจำนวนเด็กในห้องเยอะ
ลูกเราซึ่งเงียบ ๆ
ไม่ค่อยพูดอยู่แล้วอาจถูกลืมไว้มุมใดมุมหนึ่งของห้องก็ได้
เพราะเราเคยไปดูการเรียนการสอนในบางโรงเรียนในชั้นอนุบาล (2 หรือ
3ไม่มั่นใจ) มีเด็กร่วม 40 คน
เห็นคุณครูยืนหันหลังเขียนกระดานอยู่ เด็กวิ่งไปบอกว่าปวดฉี่
ครูไม่หันมามองแต่บอกให้เด็กกลับไปนั่งที่ก่อนแล้วก็เขียนกระดาษต่อไป
แล้วอย่างนี้ต่อให้เรียนกี่ภาษาแล้วลูกเราจะพูดได้หรือ
หรือไม่ก็ไม่ได้พูดอะไรเลย
เพราะเป็นคนไม่พูดอยู่แล้วต่อหน้าคนอื่นถ้าครูไม่สนใจ
ไม่เข้าใจและไม่กระตุ้นส่งเสริมให้ถูก
เราเลือกเรียนวรรณสว่างจิต
ด้วยความคิดว่าเด็กจะเรียนได้ดีหรือไม่
ประสบความสำเร็จหรือไม่อยู่ที่ความมั่นใจและความภาคภูมิใจในตัวเองค่ะ
ประการแรกเราต้องทำให้เจ้าลูกชายของเรามีความมั่นใจในตนเอง
กล้าพูดกล้าแสดงออก กล้าเสนอความคิดเห็นก่อนเป็นอันดับแรก
บางคนอาจมองว่าให้เรายอมรับตัวตนของลูก เด็กแต่ละคนต่างกัน
ไม่ใช่ทุกคนจะต้องแสดงความคิดเห็น
เด็กอาจถนัดที่จะเป็นผู้ตามคอยทำตามสิ่งที่เพี่อนเสนอก็ได้
แต่เรากลับไม่คิดเช่นนั้น
เพราะเราเคยเป็นเช่นลูกเรามาก่อนเมื่อเราเป็นเด็ก
พ่อแม่คนรอบข้างปล่อยให้เราเป็นเรา เป็นเด็กขี้อาย
ขี้กังวลเพราะพันธุกรรมและการเลี้ยงดู
ครูไม่สนใจเพราะไม่ใช่เด็กน่ารักและเรียนดี
เราถูกลืมไว้ในมุมหนึ่งของห้องทั้งที่เรานั่งเรียนแถว 2 ตลอดมา
เราไม่เคยมีความสุขในการไปโรงเรียน
ไม่เคยมีใครช่วยเราให้หลุดพ้นจากสภาวะที่ไม่กล้าแสดงออก
จนกระทั่งเราได้พบครูรุ่นใหม่ไฟแรงในชั้น ป.3 ครูสังเกตเรา
เฝ้าดูพฤติกรรมของเรา
แล้วกระตุ้นส่งเสริมให้เราได้มีส่วนร่วมในชั้นเรียน
และนั่นเองเป็นครั้งแรกที่เรามีเพื่อน
ที่เรารู้จักคุยและเล่นกับเพื่อน
และเป็นจุดพลิกผันตัวเองทำให้เรากล้าและมั่นใจมากขึ้น ๆ ๆ ๆ ๆ
เมื่อเรามีความมั่นใจแล้วเราก็เรียนดีขึ้น
ได้เป็นหัวหน้าห้องในชั้นมัธยม เอนทรานซ์ติด
ประสบความสำเร็จในระดับที่เราพอใจในหน้าที่การงานและชีวิตครอบครัว
และเมื่อได้ทำอะไรสำเร็จมากขึ้นตามลำดับ
ความมั่นใจก็ยิ่งตามมามากขึ้นเท่านั้น
เราหลุดจากบ่วงของความไม่กล้ามาได้เพราะครูผู้มีความเข้าใจในตัวเด็ก
นี่แหละค่ะ
คือเหตุผลของเราที่ให้ลูกเรียนวรรณสว่างจิต
และตอนนี้ลูกชายของเราก็กล้าแสดงออกมากขึ้น
ร่าเริงแจ่มใสและเล่นกับเพื่อนได้ดีที่โรงเรียน เราพอใจค่ะ
แต่สำหรับเรื่องวิชาการคงต้องรอเวลาอีกนิดนะคะ
ซึ่งเรื่องนี้อาจเป็นเรื่องที่พ่อแม่หลายคนกังวลกันโรงเรียนแนวนี้
ถ้าให้ตอบตรงๆเราเองก็คิดว่าในด้านวิชาการลูกเราไม่ค่อยได้อะไรเท่าไร
แต่ก็เชื่อว่าลูกสามารถเรียนได้ทันเด็ก ๆ
ที่เรียนแนวเร่งเรียนได้ในชั้นประถม
เราเชื่ออย่างนั้นค่ะ ระหว่าง
Process กับ Product คุณจะเลือกอะไร นายกทักษิณบอกว่าเลือก Product หรือ
Result ในการทำงาน
เราไม่เถียงหรอกเพราะนั่นเป็นเรื่องของการทำงานที่ต้องการผลของงาน
แต่สำหรับลูกเราเลือกกระบวนการเพราะเราไม่จำเป็นต้องเห็นเขาสอบได้ที่หนึ่งในวันนี้
แล้วล้มเหลวหรือผิดหวังในอนาคต
แต่เราอยากเห็นเขาได้เรียนรู้ผ่านกระบวนคิดอย่างมีระบบด้วยตัวของเขาเองเพื่อที่เขาจะได้เติบโตมาเป็นผู้ใหญ่ที่ดี
เพราะเราเชื่อว่าผลผลิตที่ดีย่อมเกิดจากกระบวนการและวัตถุดิบที่ดีค่ะ
|